วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัสสาวะ...เพื่อสุขภาพ


ทราบหรือไม่ว่า การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดีนั้นทำอย่างไร วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...

- อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

- เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

- ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

- ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

- ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

- อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

- เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

- เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

- ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

- การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์

- ทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
รู้อย่างนี้แล้ว ควรขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดี

อ้างอิง
http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=350&mode=thread&order=0&thold=0
www.doootv.com/station/images/36...4080.jpg
women.sanook.com/story_picture/m..._002.jpg



วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ

7 เรื่องน่ารู้ ... หลีกหนีมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ ซึ่งพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และสารอัลฟาท็อกซินในเชื้อราบางชนิดที่ขึ้นบนถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียม เป็นต้น และมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุภายในท่อน้ำ ดีส่วนที่อยู่ภายในตับ เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งเป็นพยาธิที่มีอยู่ในปลาน้ำจืดตามหนองบึง เช่น ปลาแม่สะแด้ง ปลาตะเพียนทราย ปลาสร้อยนกเขา ปลาสูตร ปลากะมัง ฯลฯ ซึ่งพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่พบในอาหารพวก โปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม ฯลฯ และอาหารพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น
ทั้งนี้ หากอยากที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว ห่างไกลโรคมะเร็งตับ ทำได้ง่ายๆ เพียงจดจำบัญญัติ 7 ประการและนำไปปฏิบัติ เพียงแค่นี้รับรองว่า มะเร็งร้ายไม่แวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน ..

บัญญัติที่ 1 ป้องกันและรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ เลิกกินปลาน้ำจืดมีเกล็ดแบบสุกๆ ดิบๆ โดยเด็ดขาด หากท่านยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ประเภทปลาร้า ปลาจ่อมรสแซ่บ แหนม ฯลฯ โปรดรู้ไว้ว่าคุณได้นำพยาธิใบไม้ตับและสารไนโตรซามีนซึ่งสารก่อมะเร็งตับชนิดร้ายแรงเข้าสู่ร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ทานสุกๆ ดิบๆ แล้วก็ทานยาถ่ายพยาธิตามไปสิ เดี๋ยวร่างกายก็จะถ่ายพยาธิใบไม้ตับออกมาเอง ความเชื่อที่ว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะพยาธิเมื่อเข้าไปในร่างกายเราแล้วมันจะกัดทำลายทำให้ท่อน้ำดีอักเสบ ตรงกันข้ามผลการวิจัยพบว่าคนที่ใช้ยาถ่ายพยาธิบ่อยครั้งในขณะที่ยังไม่หยุดกินปลาดิบกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงจะทานยาถ่ายพยาธิเข้าไป ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณปลอดภัยจากโรคมะเร็งตับ

บัญญัติที่ 2 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่มีราขึ้น อาหารใส่ดินประสิว และไนไตรซามีน เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน รวมถึงอาหารประเภทหมักดอง เค็มจัด เผ็ดจัด

บัญญัติที่ 3 รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ เรื่องอาหารการกินปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งเราอาจจะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า เราเลือกรับประทานได้อย่างถูกต้องแล้วหรือยัง? ดังนั้น การรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เคล็ดลับง่ายๆ เริ่มปฏิบัติด้วยการรับประทานอาหารให้ครบหลัก 5 หมู่ ในปริมาณที่ครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการรับประทานผัก ผลไม้สด เป็นประจำ ในแต่ละวันร่างกายคนเราควรรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ โดยทางการแพทย์แนะนำว่าควรบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณ 400 กรัมต่อวัน อันจะนำไปสู่การมีภาวะโภชนาการที่ดีต่อไป

บัญญัติที่ 4 ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเพื่อพฤติกรรมสุขภาพดี ดั่งคำเปรียบเปรย "สุขภาพดีนั่นคือลาภอันประเสริฐ" ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กินอยู่นอนหลับอย่างพอดี เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย พร้อมทั้งการดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ก็เป็นแนวหนึ่งที่จะทำให้สุขภาพดีแบบพอเพียงได้เช่นกัน

บัญญัติที่ 5 เลิกดื่มสุราและงดสูบบุหรี่ บุหรี่มีโทษอนันต์เพราะมีสารก่อมะเร็งมากถึง 43 ชนิด

บัญญัติที่ 6 ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนปวดสมอง อันเป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่จะคอยกัดกินสุขภาพไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้น การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันเพียงวันละแค่ 15-30 นาที นอกจากสุขภาพกายจะแข็งแรงดีแล้ว สุขภาพใจก็จะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน

บัญญัติที่ 7 บัญญัติสุดท้าย การขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะจะสามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีได้ เพราะหากขับถ่ายผิดที่ผิด อาทิ ขับถ่ายของเสียในแม่น้ำลำคลอง ไข่ของพยาธิใบไม้ตับที่ไหลผ่านท่อน้ำดีเข้าสู่ลำไส้จะออกมาปะปนกับอุจจาระของคน สุนัขและแมว สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้ง่าย

อย่าให้ความสูญเสียต้องเกิดขึ้นเมื่อสายเกินไป หากเริ่มปฏิบัติตนตามบัญญัติทั้ง 7 ประการข้างต้นตั้งแต่วันนี้ คุณจะสามารถโบกมือบอกลาโรคมะเร็งตับได้อย่างถาวร ทั้งนี้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและวิธีการป้องกันโรคมะเร็งตับ ทั้งจากชนิดเซลล์ตับและชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากโครงการ "เรียนรู้เท่าทัน ป้องกันมะเร็งตับ"

อ้างอิง http://women.thaiza.com/7%20เรื่องน่ารู้%20%20หลีกหนีมะเร็งตับ_1212_160684_1212_.html
www.fm100cmu.com/blog/GoodHealth...1702.jpg

roiet.nfe.go.th/template2/images...2_52.jpg

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปฏิทิน

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผักพื้นบ้านยับยั้งสารก่อมะเร็ง

น้ำพริกนั้นถือเป็นอาหารประจำชาติไทยเลยก็ว่าได้ เรามีน้ำพริกหลายชนิดแตกต่างกันไปตามภูมิภาคให้เลือกกินกันได้ไม่เบื่อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกมะขาม น้ำพริกนรก ฯลฯ แต่ที่สำคัญคือต้องมีผักแนม เป็นผักสดๆ หรือผักต้มผักนึ่งเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น สำหรับผักแนมต่างๆนั้นก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมคุณค่าของอาหารให้มากขึ้น โดยนักวิจัยจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ความรู้ในเรื่อง "น้ำพริกและผักแนม...คุณค่าอาหารพื้นบ้าน" ว่าผักพื้นบ้านชนิดใดบ้างที่ช่วยยับยั้งสารก่อกลายพันธุ์ หรือสารก่อมะเร็งได้

สำหรับผักพื้นบ้านที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งสูงมาก ได้ยแก่ กระโดนบก ข่า จิกน้ำ ถั่วมะแฮะ ผักส้มป่อง มะดัน มะเม่า มันแกวเขียว เล็นเค็ด ส้มป่อย
ผักพื้นบ้านที่ช่วยยับยั้งการสารก่อมะเร็งสูง ได้แก่ กระสัง ดอกดิน ตีนเต่า แตงโมน้อย เทา เทียน แกลบ นางแลว บัวเผื่อน บวบหอม ผักตุ๊ด ผักวิมาน ผักสัง พญายอ ฟักทอง มะขาม มะเดื่ออุทุมพร มะรุม มะแว้ง ส้มซ่า ส้มลม โสมไทย หูปลาช่อน

ผักพื้นบ้านที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งได้ปานกลาง ได้แก่ กล้วยน้ำว้า ขจร ถั่วผักยาวแดง ถั่วลาย บุก บอนดำ ผักโขมม่วง ผักหวานป่า มะเดื่อปล้อง มันต้าง รากคิว ลิงลาว ผักสาบ หวายขม อัญชัน

ผักพื้นบ้านเหล่านี้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของคนท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคเป็นอย่างดี เพราะใช้ประกอบอาหารอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับคนกรุงแล้วก็ถือว่าหาได้ค่อนข้างยาก แต่หากอยากกินผักที่ให้ประโยชน์อย่างนี้ ก็คุ้มค่าที่จะลองหามากินกัน


อ้างอิง http://women.thaiza.com/ผักพื้นบ้านยับยั้งสารก่อมะเร็ง_1212_158676_1212_.html
http://www.oknation.net/blog/diamond/2009/08/07/entry-1
http://edunews.eduzones.com/clip/20108

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผักพื้นบ้านแต่สรรพคุณไม่พื้น!


ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่น ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหาร พื้นบ้าน ดังนี้

รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ
รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า ฯลฯ

รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ตอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย ฯลฯ

รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว

รสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย


รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม
รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอกหวาย ดอดขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผักโขม


นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สารสำคัญในผักพื้นบ้าน ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตำลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผักแว่น ใบขี้เหล็ก ใบกระเพรา นอกจากนี้ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะปราง

นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสิทธิภาพ ของการทำงานของเม็ดเลือดขาวได้

วัฒนธรรมพื้นบ้านของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดยิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งมีวิตามินซีสูงเท่านั้น ดังนั้นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดที่นำมารับประทานสด กับน้ำพริก คนไทยก็มักจะนำมารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซี และเกลือแร่อื่นๆ สูง ในบางชนิดอาจจะเป็นอันตราย ถ้านำมารับประทานเลย ก็จะนำมาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม

การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทานกันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้วยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน ดังนั้นเราควรจะส่งเสริม ให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ หรือผักไว้กินได้มากนัก

เนื่องจากการถูกจำกัดเรื่องสถานที่ แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กระเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับผู้ที่มีที่ดินพอปลูกผักริมรั้ว ที่เป็นไม้ยืนต้นที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนำพืชเหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหาร ที่มีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นรั้วบ้าน และให้ร่มเงาทำให้สดชื่น ถ้าเหลือกินในครอบครัวก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือเก็บไปขายได้

จากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่นพึ่งตนเองได้ ปัจจุบันคนไทยกำลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนไทยควรจะเห็นความสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของเราคนไทย และเพื่อชาติไทย




อ้างอิง
http://women.thaiza.com/ผักพื้นบ้านแต่สรรพคุณไม่พื้น_1212_165995_1212_.html
http://women.kapook.com/view3617.html
http://www.rx.co.th/main/healthycornershow.aspx?CmsId=366

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ


หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ

แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโ
มเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี
วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...


อ้างอิง
http://www.ladytip.com/main/content/view/88/77
www.yorkza.com/te/images/9000/8049/1.jpg
stdweb.benchama.ac.th/bm94/606/4..._002.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สมุนไพรรักษาสิว

อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า กลไกของการเกิดสิวนั้นมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น อารมณ์ก็ทำให้เกิดสิวได้ เครียดมากก็สิวเห่อ อาหารบางอย่างก็ทำให้มีสิวได้เหมือนกัน เครื่องสำอางยิ่งหนักถ้าใช้แล้วแพ้ ล้างไม่สะอาด ไปอุดรูขุมขน การดูแลใบหน้าให้สวยเปล่งปลั่งนั้น ทางทีดีเราควรจะเริ่มตั้งแต่การป้องกัน ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วค่อยมารักษา ซึ่งปัจจุบันทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ หันมามอบความไว้วางใจให้กับสมุนไพรกันมากขึ้น ด้วยหวังว่ามันจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

สมุนไพรอย่างหนึ่งที่พูดถึงกันมากในสรรพคุณของการรักษาสิวก็คือ"ว่านหางจระเข้" ซึ่งเป็นสมุนไพรจำพวกที่ใช้ใบ ภายในจะมีวุ้นใส ๆ และยางเหลือง ๆ ยางสีเหลืองตัวนี้ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าเผลอเอาไปทาจะแสบร้อน บางคนก็จะแพ้เป็นผิวผื่นคัน ซึ่งถ้าหากอยากทราบว่าเราจะแพ้หรือเปล่า ก็ให้นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาใหม่ ๆ ทางบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ถ้ามีอาการคัน แปลว่าผิวเราแพ้

ส่วนใหญ่เราจะเห็นเขานิยมนำว่านหางจระเข้มาทาหน้า แต่ว่านชนิดนี้จะไม่เหมาะกับคนผิวหน้าแห้ง ถ้านำมาใช้เดี่ยว ๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งลงไปอีก ถ้าจะนำมาใช้ให้ผสมกับน้ำมันมะกอกหรือไข่แดง คนแรง ๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดี
ยวนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออกผิวหน้าจะใส ชุ่มชื่น แต่สำหรับคนที่ผิวมันให้นำว่านที่ตัดใหม่ ๆ ไปแช่น้ำให้ยางสีเหลืองไหลออกหมดก่อนแล้วให้ลอกเอาเฉพาะวุ้นที่อยู่ข้างในมาทาหรือพอกหน้าไว้สักพัก หน้าจะตึง รูขุมขนจะถูกบีบให้เล็กลง ทำให้ความมันบนใบหน้าลดลงได้

ส่วนใครที่เป็นสิวอักเสบ ก็ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เช่นกัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ ใครที่มีความกังวลเรื่องฝ้า การใช้ว่านหางจระเข้แม้จะไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการป้องกันที่ดี เราสามารถนำมาทาเพื่อป้องกันรังสี UV ได้ ซึ่งเมื่อใช้เป็นประจำก็จะทำให้ปัญหาเรื่องฝ้าลดน้อยลง

นอกจากว่านหางจระเข้แล้ว ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกที่เราสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าได้ อย่างเช่น หอมแดง เมื่อเรานำมาฝานเป็นแว่น ๆ บาง ๆ นำไ
ปทาบริเวณที่เป็นสิว รอยด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะหายไป

กล้วยหอม ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน ถ้าเรานำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกับน้ำผึ้ง 1 ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกจำทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใส ส่วนมะนาว นำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลใบหน้าได้มากทีเดียว เราใช้มะนาวล้างหน้าแทนสบู่หรือโฟมได้ หรืออาจจะใช้ไข่ขาว 1 ช้อนชา ดินสอพอง 2 เม็ดใหญ่ มะนาว 1 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมันมะกอก1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันจะได้ครีมข้นนำมาพอกหน้า พอกตัวประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก ทำวันเว้นวัน ไม่นาน ผิวพรรณจะใสนุ่มเนียน

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ออกกำลังกายเช้าหรือเย็นดีกว่ากัน?

กลายเป็นข้อถกเถียงและสงสัยของคนทั่วโลก เนื่องจากมีการอ้างความเห็นจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญกันมากมายคำถามที่ว่า การออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็น ช่วงเวลาไหนดีต่อร่างกายมากกว่ากัน? หรือแม้แต่การบอกต่อๆ กันก็ทำให้คนฟังสับสนได้เหมือนกัน

ทั้งนี้ไม่ว่าจะออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นต่างเป็นกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน เรียกว่า ใครใคร่ออกกำลังกายช่วงไหนก็เลือกตามสะดวก ซึ่งข้อสำคัญที่คุณควรคำนึงถึงคือ ความเหมาะสม คุณภาพและความถี่ของการออกกำลังกาย โดยการแบ่งเวลาและปฏิบัติตามจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสมือนว่าเป็นนัดสำคัญที่ยกเลิกไม่ได้

การออกกำลังกายไม่ถูกจำกัดด้วยประเภทของกีฬาหรือสถานที่ แม้การขยับเคลื่อนไหวร่างกายขณะใช้ชีวิตประจำวันก็เป็นการออกกำลังกายได้ ยกตัวอย่างเช่น การจอดรถให้ไกลกว่าจุดหมายเพื่อให้ได้เดินออกกำลังกายมากขึ้น การเดินหรือวิ่งขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือมุ่งออกกำลังกายดังต่อไปนี้ให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที คุณก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้พอควร

เดินเร็ว 3.5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 140 กิโลแคลอรี
การวิ่งจ็อกกิ้ง ความเร็ว 5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 295 กิโลแคลอรี
การขี่จักรยาน ความเร็วต่ำกว่า 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 145 กิโลแคลอรี
การขี่จักรยาน ความเร็ว 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 195 กิโลแคลอรี
การยกน้ำหนักฟรีเวท เผาผลาญได้ 110 กิโลแคลอรี
ว่ายน้ำฟรีสไตล์เร็วปานกลาง เผาผลาญได้ 255 กิโลแคลอรี
แอโรบิก เผาผลาญได้ 240 กิโลแคลอรี
บาสเก็ตบอล เผาผลาญได้ 220 กิโลแคลอรี
เต้นรำ เผาผลาญได้ 165 กิโลแคลอรี


นอกจากนี้สำหรับคนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ เรามีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการออกกำลังกาย เพื่อไม่กระทบต่ออาการจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

เริ่มกำหนดเป้าหมายการออกกำลังกาย ตั้งแต่ 10 นาที และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น 30-60 นาที หรือแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้นๆ แต่รวมกันให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น ตื่นนอนตอนเช้าออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว 20 นาที หลังเลิกงานไปเดินเร็วอีก 20 นาที ก่อนนอนบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องอีก 10 นาที เป็นต้น พึ่งพาวิดีโอ วิซีดีหรือดิวีดี บริหารร่างกายได้เองที่บ้าน ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ ใครขี้เกียจเดินทางก็เช่าหรือซื้อท่าทางการบริหารร่างกายมาทำตามที่บ้านก็สะดวกเหมือนกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้ฝึกสอนที่น่าเชื่อถือ และมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

ล่าสุด ดร.เซดริก ไบร์อัน นักสรีรวิทยา ที่ปรึกษาการออกกำลังกายแห่งสมาคมเพื่อการออกกำลังกายแห่งสหรัฐอเมริกา อ้างว่าจากการวิจัยผู้หญิงน้ำหนักเกินอายุ 50-75 ปี ที่ให้ออกกำลังกายช่วงเช้าโดยเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์พบว่า การนอนหลับของกลุ่มตัวอย่างเป็นไปได้ดีขึ้นและจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 13 กิโลกรัมทีเดียว

โดย ดร.เซดริก ให้ความเห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จของการออกกำลังกายคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการออกกำลังกาย อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายตอนเช้าเปิดโอกาสให้คนหันมาออกกำลังกายจนติดเป็นนิสัยได้มากกว่าการเลือกออกกำลังกายในช่วงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้มีเหตุต้องเลื่อนการออกกำลังกาย

อ้างอิง
http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=367

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลไม้ไทยใช้เป็นยา

ผลไม้ไทยใช้เป็นยา

มะเฟือง ( Starfruit )

ผล คั้นเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ไข้หวัด บรรเทาอาการนิ่ว ในทางเดินปัสสาวะ ขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยลดอาการร้อนใน ช่วยขจัดรังแค นอกจากนั้นน้ำคั้นจากผลมะเฟื่องยังใช้ลบ รอยเปื้อนบนมือ เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ใบ นำมาต้มผสมกับน้ำ กินแก้ไข้ ขับปัสสาวะ ขับระดู หรือหากนำมาบดให้ละเอียด พอกบนผิวหนัง จะช่วยลดอาการอักเสบ ช้ำบวบ แก้ผื่นคัน กลากเกลื้อน และอีสุกอีใส ราก มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ต้มกับน้ำช่วยดับพิษร้อน แก้อาการปวดศรีษะ ปวดตามข้อต่างๆ ในร่างกาย ปวดแสบในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องร่วง ดอก นิยมนำมาต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยในการขับพิษและขับพยาธิ ข้อควรระวัง ผลมะเฟื่องมีกรดออกชาติกอยู่ค่อนข้างสูง ดังนั้น จึงไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้เป็นฝ้าได้ อีกทั้งไม่ควรกินในขณะมีประจำเดือน เพราะ จะทำให้รู้สึกปวดท้อง สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินมาก เพราะจะทำให้แท้ได้


ส้มโอ ( Pomelo )

ในส้มโอมีสารเพกทิน ( Pectin ) สูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด อีกทั้งยังมีสารโมโนเทอร์ปีนที่ช่วยในการกวดจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้น ส้มโอยังมีคุณสมบัติพิเศษ อีกประการหนึ่ง คือ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย ใบ ใบสดนำมาตำให้ละเอียดแล้วย่างไฟให้อุ่น ใช้พอกบริเวณที่ปวดบวม หรือปวดศรีษะได้ เปลือกผล เปลือกผลของส้มโอ มีน้ำมันหอมระเหยหลายชนิด ใช้เป็นยาขับลมขับเสมหะ แก้ท้องอืด แน่นหน้าอก ไอ สามารถใช้เปลือกผลตำพอกฝี และใช้จุดไฟไล่ยุงได้หรือ หากนำเปลือกผลส้มโอมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำไปนึ่งรับประทานทุกเช้าเย็น ก็จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหืดได้ เมล็ด ของส้มโอมีสรรพคุณ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารลดอาการปวดบวมของผิวหนัง และยังช่วยลดปริมาณของเสมหะที่มีในลำคอไ้ด้อีกด้วย ผล ช่วยเจริญอาหาร หากรับประทานเนื้อส้มโอหลังอาหาร จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


มะยม ( Star Gooseberry )

เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด ในผลมีแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง จึงมีฤทธิ์ในการ ช่วยสมานแผล และ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ ในยอดอ่อนมีฟอสฟอรัส ช่วยในการขับเหงื่อ และกระตุ้นการเจริญอาหาร รากของมะยมมีสารแทนนิน( Tannin ) อยู่ค่อนข้างสูง ใช้แก้ไข้ แก้อาการหอบหืด และปวดศรีษะ



มังคุด ( Mangosteen )

เป็นผลไม้ที่เนื้อในของผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน กลมกล่อมและได้รับการยกย่อง ให้เป็นราชินีของผลไม้ทั้งปวง เนื่องจากมีกลีบรองดอกติดอยู่ที่ขั้วคล้ายมงกุฏราชินี ทั้งในเปลือก มังคุดยังมี สารแทนนิน และมี สารแมงโกสติน ( Mangostin ) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง อยู่มากถึง 7 - 14 เปอร์เซ็นต์ ในแง่สมุนไพร เปลือกมังคุดจึงมีสรรพคุณในการใช้รักษาโรคผิวหนัง และนิยมนำไป สกัดทำเป็นสบู่ ครีมพอกหน้า และยารักษาสิวฝ้าได้อีกด้วย

มะขาม (Tamarind )

นับได้ว่าเป็นผลไม้พื้นบ้านที่คนไทยรู้จักมาช้านาน อีกทั้งเราสามารถนำส่วนต่างๆ ของมะขามมาใช้ประโยชน์ในการรักษาได้แทบทั้งสิ้น เช่น ในเนื้อมะขามมี สารแอนทราควิโนน (Anthraquinone ) ซึ่งจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีกรดอินทรีย์ ( Oragnic acid ) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาริก ( Tartaric acid ) และกรดซิตริก ( Citric acid ) ทำให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เพิ่มกากใยอาหารและช่วยหล่อลื่นให้ขับถ่ายสะดวก


ทับทิม ( Pomegranate )

ในภัมภีร์อายุรเวทของอินเดีย ยกย่องให้ทับทิมเป็นคลังยา เพราะ ส่วนต่างๆ ของทับทิม สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ผล ซึงมีรสหวานอมเปรี้ยวออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง เป็นต้น นอกจากนั้น ในเปลือกผลแก่ ของทับทิมยังมีกรด Gallotannic ซึ่งมีฤทธิ์ในการ ยับยั้่งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค แก้อาการท้องเดินได้ ซึงกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิเคราะห์ไว้แล้วว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน ทั้งยังสามารถใช้รักษาโรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรียและอะมีบา ได้ผลดีอีกด้วย

มะขามป้อม ( Emblic )


เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาที่เราสามารถหาได้ใกล้ๆ ตัว นอกเหนือจากจะมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 20 เท่า ในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มะขามป้อมยังมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ใช้เป็นยาลดไข้ ยาฟอกเลือด ยาระบาย บำรุงหัวใจ ใช้ขับปัสสาวะ และแก้ริดสีดวง ได้อีกด้วย



อ้างอิง http://secreta.doae.go.th/html/page49.htm
www.oknation.net/blog/home/blog_...pic1.jpg
seedlife.htc.ac.th/board/modules...7239.jpg

 
Wordpress Theme by wpthemescreator .
Converted To Blogger Template by Anshul .